อัปเดตสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 1-5 พ.ย. 64 และแนวโน้ม 8-12 พ.ย. 64
ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลดลง โดยราคา NYMEX WTI และ Dubai ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 สัปดาห์ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) โดยลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ลงทุกเดือน เดือนละ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน จากระดับปัจจุบันที่ 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน ซึ่งจะเริ่มปรับลดวงเงินในเดือน พ.ย. 64 และสิ้นสุดในเดือน มิ.ย. 65 ทั้งนี้ Fed ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) ที่ระดับ 0-0.25% จนกว่าระดับการจ้างงานในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นถึงระดับที่เหมาะสม โดยล่าสุดกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm payrolls) ในเดือน ต.ค. 64 เพิ่มขึ้น 219,000 ราย จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 531,000 ราย สูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 138,000 ราย จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ปรับตัวลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 4.6% ต่ำสุดตั้งแต่เดือน มี.ค. 63 และต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.7%
อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดว่าอุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง หลังผลการประชุมวันที่ 4 พ.ย. 64 ของกลุ่ม OPEC และพันธมิตร (OPEC+) มีมติเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ ในเดือน ธ.ค. 64 ที่ระดับ 400,000 บาร์เรลต่อวัน ต่อเดือน คงเดิมจากข้อตกลงในเดือน ก.ค. 64 ท่ามกลางแรงกดดันจากประเทศผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลก อาทิ สหรัฐฯ จีน และอินเดีย ที่เรียกร้องให้เพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันให้ทันกับการฟื้นตัวของการใช้น้ำมันโลก
ด้านเทคนิค สัปดาห์นี้ราคา ICE Brent มีแนวโน้มอยู่ในกรอบ 80 – 86 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และมีโอกาสที่ ICE Brent จะขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญ คือ 87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก
กลุ่ม OPEC และพันธมิตร (OPEC+) มีมติเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ ในเดือน ธ.ค. 64 ที่ระดับ 400,000 บาร์เรลต่อวัน ต่อเดือน คงเดิมจากข้อตกลงในเดือน ก.ค. 64 ท่ามกลางแรงกดดันจากประเทศผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลก อาทิ สหรัฐฯ จีน และอินเดีย ที่เรียกร้องให้เพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันให้ทันกับการฟื้นตัวของการใช้น้ำมันโลก
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ
สำนักวิเคราะห์ Energy Aspects ประเมินว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มระบายน้ำมันจากคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ซึ่งประธานาธิบดีมีอำนาจอนุมัติปริมาณ 30 ล้านบาร์เรล เพื่อบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันแพง หากราคาน้ำมันดิบ Brent สูงกว่าระดับ 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล