เมื่อทุกคนยังคงต้องรักษาระยะห่าง เนื่องจากยังต้องระแวดระวังเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ค่าย CREATIVE AI CAMP ปีที่ 2 เฟส 2 จัดโดย บมจ.ซีพี ออลล์ และพันธมิตร จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการจัดค่าย จากการจัดแบบ “พบหน้า” มาเป็นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์แบบ “Phenomena Work-based Education Learning” แต่ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแพลตฟอร์มดังกล่าว จะทำให้เยาวชนมีโอกาสได้เรียนรู้อย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผลงานด้าน AI ที่เยาวชนสร้างสรรค์ออกมาในปีนี้ น่าสนใจยิ่งขึ้น
จากโจทย์ที่ให้เยาวชนระดับมัธยมปลาย และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 4 ทีมสุดท้าย ที่ผ่านการคัดเลือกจากเฟส 1 มาสร้างสรรค์ไอเดีย นำ AI มาสร้างประโยชน์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals หรือ SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ปรากฏว่า ผลงานของทีม SA(E)VER BANK ที่ออกแบบแอพพลิเคชั่น “SA(E)VER BANK energy management application” มาตอบโจทย์ด้านการบริหารจัดการพลังงาน ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการตัดสินของคณะกรรมการ ทั้งชาวไทย สิงคโปร์ และจีน
น้องนอร์ธ นภกร ทรัพย์สอาด นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย จ.นครพนม สมาชิกทีม SA(E)VER BANK เล่าว่า จากโจทย์เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน ทางกลุ่มตระหนักถึงเรื่องปัญหาการใช้ทรัพยากรพลังงาน ที่ในบางครั้งอาจมีการใช้พลังงานที่มากเกินไป จนอาจส่งผลกระทบต่อคนรุ่นหลัง จึงได้ช่วยกันสร้างสรรค์ไอเดีย ออกมาเป็นแอพพลิเคชั่นที่ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น
แอพพลิเคชั่นดังกล่าว ประกอบด้วย 3 ฟีเจอร์หลัก ประกอบด้วย 1.การพยากรณ์การใช้พลังงานภาพรวม โดยมอนิเตอร์ค่าไฟฟ้าที่ใช้ภายในอาคาร หรือร้านค้า เช่น ในร้านสะดวกซื้อ และพยากรณ์ค่าไฟฟ้าที่จะใช้ในอนาคต 2.การตรวจสอบการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละเครื่อง ติดตั้งอุปกรณ์ด้าน IoT ไว้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า คอยตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าของแต่ละเครื่องในช่วงเวลาต่างๆ ซึ่งปกติมักมีความต้องการใช้ในแต่ละช่วงเวลาไม่เท่ากัน และควบคุมการปิด-เปิดในช่วงเวลาที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงาน และ 3.การนำบล็อกเชนเข้ามาช่วยตอบสนองความต้องการของชุมชน นำค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากการใช้พลังงานไปตอบสนองความต้องการของชุมชน เบื้องต้น ต้องเก็บข้อมูลการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำสำหรับการใช้พลังงานในฤดูกาลต่างๆ อย่างครบถ้วน สำหรับนำมาใช้พยากรณ์การใช้พลังงาน
“AI คือสิ่งที่นำไปประยุกต์ใช้ได้กับแทบทุกอย่าง ช่วงที่ผ่านมา ที่ทุกคนต้องอยู่บ้าน เราเห็น AI ทั้งด้านอีคอมเมิร์ซ ด้านคมนาคมขนส่ง AI เข้ามามีบทบาทช่วยเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด ไวที่สุดให้กับเรา ปัจจุบัน AI อยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะด้านการเรียน หรือด้านใดก็ตาม เชื่อว่า AI จะเข้ามามีบทบาทช่วยตอบโจทย์เรื่อง New Normal เพิ่มเติมได้อีกด้วย แต่ AI จะไม่ได้เข้ามาแทนที่คน เช่น เมื่อเทียบระหว่างเลขาที่เป็นคน กับเลขาที่เป็น AI เลขาที่เป็นคนยังคงทำงานต่างๆ ได้มากกว่า” น้องนอร์ธย้ำ
ด้าน น้องลุต ลุตฟี ดีแม นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนพัฒนาวิทยา จ.ยะลา กล่าวว่า แม้การทำงานในค่าย Creative AI Camp ปีที่ 2 เฟส 2 จะไม่ได้พบหน้ากันโดยตรง แต่ได้รับความรู้ และทักษะที่เข้มข้นเพิ่มจากเฟสแรก เนื่องจากมีระยะเวลาการเรียนผ่านออนไลน์ที่ยาวนานขึ้น ทำให้ได้คลุกคลีกับการทำงาน การทดลองเรียนรู้ต่างๆ เช่น ทักษะด้าน API ทักษะด้านการเข้ารหัส ทักษะการทำงานของ Back-end developer ทำให้ได้ทั้งทักษะ และมีโอกาสทำงานกับเพื่อนใหม่
ขณะที่ น้องการ์ตูน ปานชนก ระวีวัฒน์ นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนทัพราชวิทยา จ.สระแก้ว บอกว่า ค่ายนี้ถือว่าเปิดประสบการณ์อย่างมาก ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ด้านเทคโนโลยีที่ไม่ได้มีพื้นฐานมากนัก จนมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ได้มีโอกาสทำงานกับทีม ร่วมกันพัฒนาไอเดียสร้างสรรค์ AI ด้านพลังงาน จนทั้งทีมได้รับชัยชนะได้
ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม นายกสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ (TTSA) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ZTRUS ในฐานะกรรมการตัดสินผลงานค่าย Creative AI Camp กล่าวว่า ภาพรวมค่าย Creative AI Camp ถือเป็นค่ายที่ดี เนื่องจากเปิดโอกาสให้เยาวชนหลากหลายกลุ่ม ไม่เฉพาะกลุ่มที่มีความสามารถด้านการเขียนโค้ดอยู่แล้ว เข้ามาร่วมกิจกรรม ขณะที่ภาพรวมผลงานเยาวชนในค่ายครั้งนี้ ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีภายใต้ระยะเวลาที่จำกัด เยาวชนได้แสดงให้เห็นทั้งเรื่องความคิดสร้างสรรค์ และเรื่องเทคโนโลยี ที่ได้เรียนรู้ผ่านการนำเสนอผลงาน ในอนาคตอาจต่อยอดทักษะอื่นๆ ได้เพิ่มเติม เพื่อให้พัฒนาผลงานนำไปใช้ได้จริง อาทิ การต่อยอดองค์ความรู้ในการเลือกเทคโนโลยี AI ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหา การต่อยอดองค์ความรู้ด้าน Creative Thinking
“ปัจจุบัน สตาร์ตอัพไทยจำนวนมาก มักบอกว่าธุรกิจของตัวเองเกี่ยวข้องกับ AI แต่ในความเป็นจริง สตาร์ตอัพไทยส่วนใหญ่ ยังเป็นเพียงผู้ใช้ ไม่ได้เป็นผู้ผลิต ขณะที่ต่อไปเราอาจจะก้าวเข้าสู่ยุค Co-bot economy หรือยุคที่หุ่นยนต์ AI กับคนทำงานร่วมกัน โดยไม่ได้แทนที่กัน เราอยากเห็นเยาวชนไทยกลุ่มนี้เติบโตไปมีทักษะ และมีความเข้าใจที่แข็งแรง กลายเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญของประเทศที่สามารถพัฒนา AI ที่ตอบโจทย์ได้ทั้งเชิงสังคม และเชิงธุรกิจ” ดร.พณชิตกล่าว
ปิดท้ายที่ ดร.พงส์ศักดิ์ โหลิมชยโชติกุล ผู้อำนวยการสำนักปัญญาประดิษฐ์สร้างสรรค์ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารโครงการ กล่าวว่า หลังจากเยาวชนทั้ง 4 ทีม ได้ทำชิ้นงานต้นแบบสมบูรณ์แล้ว จะนำเสนอผลงาน ซึ่งการนำเสนอผลงานในค่ายครั้งนี้เป็นระบบ Online Pitching ข้ามประเทศระหว่างไทย สิงคโปร์ และจีน โดยคณะกรรมการแต่ละท่านจะตัดสินด้วยระบบ Online Scoring แสดงผลการตัดสินอัตโนมัติ ถือเป็นความท้าทายใหม่ของการจัดค่ายรูปแบบนี้อย่างหนึ่ง ต้องขอบคุณพันธมิตรที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ความรู้ และคณะกรรมการตัดสิน อาทิ Advanced Robotics Center มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS), Department of Information Management Peking University (มหาวิทยาลัยปักกิ่ง), สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นต้น
แม้การจัดค่ายครั้งที่ 2 เฟส 2 จะปิดฉากลง แต่การเรียนรู้ การสร้างสรรค์ และแบ่งปันเพื่อสังคม ยังเดินหน้าต่อไป เพื่อต่อยอดพื้นที่การเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีที่นอกเหนือจากค่ายอย่างต่อเนื่อง